Sunday, May 31, 2009

เตรียมลูกก่อนเข้าเรียน เริ่มต้นจากครอบครัว

0 comments
>
"หมดเวลาสนุกแล้วสิ หมดเวลาสนุกแล้วสิ โอ๊ะโอ!!" แหม...เหลืออีกเพียงไม่กี่วัน ก็จะเริ่มต้นเทอมใหม่กับการเรียนกันแล้ว หลายครอบครัวคงจะเต็มอิ่มกับการได้อยู่กับลูกตลอดซัมเมอร์นี้กันไม่มากก็น้อยนะครับ

แต่ด้วยหน้าที่ของเด็ก ที่จะต้องไปเรียนหนังสือ การได้อยู่ในอ้อมอกของพ่อแม่ไปตลอด คงไม่ดีนัก เพราะจะต้องรู้จักผู้คน และเรียนรู้โลกภายนอกบ้าง เพื่อเข้าใจความเป็นจริงของสังคมที่เกิดขึ้น ไม่ต่างจากครอบครัวที่มีลูกเล็ก ผู้ปกครองเริ่มมีความวิตกกังวลมากขึ้น เพราะถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องพาลูกเข้าสู่โลกใบใหม่ในระบบโรงเรียนแทนระบบครอบครัว วันนี้ Life & Family จึงนำวิธีการเตรียมลูกรักก่อนเข้าเรียน มาฝากคุณพ่อ คุณแม่กันครับ นพ.ทัศนวัต สมบุญธรรม ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี แนะนำว่า ก่อนลูกจะเข้าโรงเรียนอนุบาล ครอบครัวต้องมีส่วนช่วยลูก เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในรั้วโรงเรียนอนุบาล ดังนี้
1. พ่อแม่ต้องฝึกให้ลูกช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวันแบบง่ายก่อน เช่น การกินอาหาร การแปรงฟัน การล้างมือ การตื่นนอน หรือการเข้าห้องน้ำ
2. สอนทักษะการสื่อสารให้กับลูก เช่น ฝึกการพูด การใช้คำ เพื่อให้เข้าใจความหมาย และคำสั่งต่างๆ ได้ดี รวมถึงความรู้สึกเบื้องต้นของลูก เช่น ชอบ ไม่ชอบ ร้อน หนาว อิ่ม หิว เป็นต้น
3. ฝึกกฎระเบียบกติกา เช่น การรอคอย การไม่ส่งเสียงดัง การแสดงความคิดเห็นโดยการยกมือขออนุญาตก่อนจะพูด หรือก่อนจะทำอะไร อาทิ การขออนุญาตเข้าห้องน้ำ
4. ฝึกทักษะการแก้ไขปัญหาในสังคม เช่น ไม่ใช้ความรุนแรงกับคนอื่น แต่สอนให้รู้จักประนีประนอม ยอมความ เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่หวัง รวมถึงการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การมีน้ำใจ แบ่งปันช่วยเหลือเพื่อน
5. เสริมสร้างทัศนคติการไปโรงเรียนที่ดีกับลูก เช่น ไปโรงเรียนแล้วมีแต่คุณครูใจดี มีเพื่อนมากมาย มีของเล่น และกิจกรรมสนุกๆ เยอะเลย เป็นต้น
นอกจากนี้ คุณหมอยังแนะต่อว่า เมื่อโรงเรียนเปิดแล้ว คุณพ่อคุณแม่ ต้องบอกความจริงกับลูก อย่าโกหก หรือหลอกลวง, พูดคุยกับลูกถึงกิจกรรมที่โรงเรียนในแง่ดี เช่น "มีกิจกรรมสนุกเยอะเลยนะลูก" หรือไม่ก็บอกว่า "ทำกิจกรรมที่โรงเรียน หนูจะมีเพื่อนเยอะแยะเลยนะจ๊ะ" เป็นต้น ขณะโรงเรียนเลิก ไม่ควรปล่อยให้ลูกรอคอยผู้ปกครองนานเกินไป เพราะจะทำให้เด็กกลัว เกิดอาการเคว้ง และไม่อยากไปโรงเรียน ที่สำคัญต้องเปิดโอกาสให้ลูกถาม หรือระบายความเครียดผ่านการพูดคุยกับพ่อแม่เกี่ยวกับการไปโรงเรียนด้วย เพื่อแลกเปลี่ยนปัญหาระหว่างลูกกับโรงเรียน อย่างไรก็ตาม ก่อนเด็กเข้าสู่รั้วโรงเรียน สถานศึกษาบางแห่งจะมีการปรับพื้นฐานให้กับเด็กก่อน ฉะนั้นพ่อแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องการปรับตัวของลูก แต่ทั้งนี้การเตรียมพร้อมที่ดีที่สุดต้องเริ่มจากครอบครัวเป็นสำคัญ เพียงแค่นี้การเข้าเรียนใหม่ของเด็กๆ จะไม่มีเสียงงอแงให้ปวดหูคุณพ่อคุณแม่อีกต่อไป กลับแต่จะมีเสียงเรียกร้องอยากไปโรงเรียนของลูกตามมา

ที่มา: Mother & Care
Read More......

Friday, May 29, 2009

เที่ยวละไม สุขใจไปกับน้องพูนพูน

0 comments
>
"อยากไปเที่ยวอควาเรี่ยมจังเลย เพื่อน ๆ ของพูน พูนนะเค้าไปกันหมดแล้ว อยากไปอ่ะ" ลูกชายตัวดีมาอ้อนให้พาไปเที่ยวอีกล่ะ ว่าแล้วช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้พาลูก ๆ ไปเที่ยวที่ไหนเลย มั่วแต่ทำอะไรก็ไม่รู้ บางครั้งก็ไปตามใจตัวเองไม่ได้ตามใจลูกเต้าเท่าไหร่ OK ลูกเอ๊ย แม่จะพาหนูออกไปท่องโลกกว้างกัน....ไปกันโล้ด!!!!

ที่เชียงใหม่ช่วงนี้เค้ากำลังเห่อ ซูอควาเรี่ยม กันค่ะ เป็น Under Weter World กันค่ะ มีทั้งสัตว์น้ำจืดและน้ำเค็ม ก็ค่อนข้างโอเคนะคะโอว่า แต่อย่าเอาไปเที่ยบกับที่พารากอนเลยค่ะ มันคนละอย่างกันเนอะ ช่วงนี้มีโปรโมชั่นด้วย ผู้ใหญ่ 2 เด็ก ฟรี !!! ชอบจังเลยของฟรีเนี๊ย ว่าแล้วก็จัดแจงชวนคุณสามีพาเราสองคนแม่ลูกไปเที่ยวกันเลย น้องพูนพูนลั่นลามากเลยค่ะ ทั้ง ๆ ที่เคยไปที่สยามโอเชี่ยนเวิลด์มาแล้วหลายครั้ง แต่เด็ก ๆ ก็คงชอบไม่มีเบื่อหรอกค่ะ ออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อป้องกันรถติด พอไปถึงก็มุ่งตรงไปที่ซูอควาเรี่ยมเลยค่ะ เพราะสวนสัตว์เนี๊ยไปมาหลายรอบละ "โห้ ... เจ๋งมากเลย สุด ๆ ไปเลย" อะไรจะเจ๋งขนาดนั้นเจ้าพูนพูนเอ๊ย ตื่นตาตื่นใจอะไรขนาดนั้น แต่ก็ดีแล้วค่ะที่เราได้พาลูก ๆ มาเปิดหูเปิดตาบ้าง อย่ามัวแต่อุดอู้อยู่ในบ้าน ไม่ดีแน่นอนค่ะ เด็ก ๆ ควรจะได้ออกมาพบปะผู้คนหรือสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ เพื่อให้พัฒนาการของเค้าดียิ่งขึ้น เราสามารถนำสิ่งรอบตัวมาสอนเค้าได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ เด็ก ๆ จะมีคำถามมากมายให้เราได้เวียนหัวอยู่แทบทุกวัน แต่นั่นก็จะเป็นพื้นฐานของเค้าให้เค้าได้คอยสังเกตุสิ่งรอบตัวและเรียนรู้อะไรได้มากยิ่ง ๆ ขึ้นค่ะ
Read More......

Wednesday, May 27, 2009

ดนตรี....มันดีอย่างนี้นี่เอง

0 comments
>
ไม่ทราบว่าคุณพ่อคุณแม่ให้น้อง ๆ ทำกิจกรรมอะไรกันบ้างคะ เล่นดนตรี กีฬา อ่านหนังสือ .... มีกิจกรรมหลายต่อหลายอย่างที่เหมาะกับเด็ก ๆ อย่างน้องพูนพูนเนี๊ย ชอบเล่นหลายอย่างค่ะ แต่ที่ชอบมากน่าจะเป็นต่อสู้นะคะ --" เล่นกับพ่อเค้าซะมันส์เลย

แม่โอก็เป็นอีกคนนึงที่อยากหากิจกรรมให้ลูกทำหลายต่อหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นดนตรี เทควันโด ปั้นดินน้ำมัน อ่านหนังสือ ..... ลองสังเกตุดูทุก ๆ อย่างที่ว่าเนี๊ยล้วนแล้วแต่มีผลดีกับน้องทั้งนั้นเลย น้องพูนพูนแกเป็นเด็กที่ผอมม๊าก.....กค่ะ ไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรงกับเค้า ไม่แคล่วคล้องว่องไว พ่อเค้าก็เป็นกังวัล ก็เลยอยากให้ลูกเล่นกีฬาซะหน่อย เอาเลย...แม่เชียร์เต็มที่ เทควันโดงัยอินเทรนสุด ๆ เรียนมาได้เกือบ 2 ปีแล้วค่ะ เห็นผลทันตา จากที่ไม่ค่อยมีแรงก็พลังเหลือหลาย วิ่งได้คล่องแคล่วมากเลย นอกจากนี้แล้วพ่อเค้าก็ยังเสริมฟุตบอลให้อีกด้วย แต่ก็ไม่ค่อยบ่อยเท่าไหร่เพราะไม่ค่อยมีเวลา แต่ก็จะพยายามไม่ใช้ข้ออ้างนี้กับลูกค่ะ อีกอย่างนึงที่แม่โอภูมิใจนำเสนอก็คือ ดนตรีค่ะ น้องพูน ๆ เรียนดนตรีมาได้เกือบ 2 ปีเหมือนกัน เป็นคอร์สดนตรีเบื้องต้น สอนเกี่ยวกับจังหวะ ตัวโน้ต เสียงสูง เสียงต่ำ ทำนองเนี๊ยค่ะ คุณครูก็ไม่ได้เคร่งครัดอะไรมากเลย เพราะเค้าบอกว่าเดี๋ยวเด็กจะเบื่อซะก่อน ก็จะมีเกมส์ มีแบบฝึกหัด ให้น้อง ๆ คุ้นเคยกับมัน ก็มีโอกาสเล่นโชว์บ้าง ผิดบ้าง ถูกบ้าง ก็แล้วแต่เค้าเถอะค่ะ แต่ที่แม่โอจะเน้นเป็นพิเศษก็คือการฝึกซ้อมค่ะ พยายามจะหัดให้น้องมีวินัยบ้างโดยนัดซ้อมอาทิตย์ละ 2 วัน ประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง อยากให้น้องหัดรับผิดชอบบ้าง พอดีสิ้นปีนี้จะมีการสอบเลื่อนเกรด จริง ๆ คุณครูก็ไม่ได้บังคับว่าต้องสอบอะไรหรอกค่ะ แต่น้องอยากสอบเองคุณแม่ก็เลยต้องทำข้อตกลงว่าจะต้องซ้อมนะ ซึ่งน้องก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ค่ะ สอบไม่ผ่านไม่เป็นไรค่ะอยากให้เค้าได้รับผิดชอบอะไรบ้างก็เท่านั้นเอง แต่เท่าที่แม่โอสังเกตุนะคะ น้องดูมีสมาธิมากเลย แอบดูเค้าเรียนก็มีซนบ้างเล่นบ้างแต่พอถึงตอนที่ต้องตอบคำถามหรือเล่นเพลงก็สามารถทำได้อย่างดีเลยค่า ^o^
ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมอะไรก็ตามคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่จะเสริมสร้างพัฒนาการให้ลูกรักของเราสามารถเติบโตได้อย่างดีเลยค่ะ ใครยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเสริมกิจกรรมตัวไหนให้ลูกดี แม่โอขอแนะนำดนตรีเป็นอันดับต้น ๆ เลยค่ะ
Read More......

ยิ่งเล่น ยิ่งรู้ ... คอนเฟิร์มค่า

0 comments
>

เคยมั๊ยคะที่เคยบ่นกับเจ้าตัวป่วนว่า " นี่จะต้องเล่นทั้งวันเลยใช่มั๊ย" รึเปล่าคะ แม่โอก็เป็นคนนึงที่เคยคิดเคยบ่นเหมือนกัน ก็น้องพูนพูนสิคะ ตื่นมาก็เล่นเลย ไม่ว่าจะเป็นเล่นหุ่น วาดรูป ต่อสู้ ปั้นดินน้ำมัน ...... เช้าจรดเย็น พอบอกว่า "พูนพูน ได้เวลาเข้านอนแล้วลูก" ก็จะต้องได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า "ว้า...ยังไม่ได้เล่นอะไรเลยง่ะ" เล่นเอาแม่โองงเลยจ้า แล้วไอ้ที่เธอทำมาทั้งวันเนี๊ยเค้าเรียกว่าอะไรย๊ะ..... แต่พอกลับมานึกทบทวนแล้ว สิ่งเหล่านี้แหละค่ะ ที่จะเป็นตัวกระตุ้นเป็นสิ่งเร้าที่ทำให้ลูกของเรา ๆ เนี๊ยมีพัฒนาการที่ดีวันดีคืน ไม่เชื่อลองอ่านบทความต่อจากนี้ได้เลยค่า ^o^

ช่วงเวลาที่ได้ “เล่น” ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่สุดอย่างหนึ่ง ซึ่งจะเป็นความทรงจำที่ดีตลอดไป โดยเฉพาะกับเด็กวัยแรกเริ่มเรียนรู้ ฉะนั้น จงเปิดกว้างให้กับการเรียนรู้อันมีค่านี้กันเถิด
คุณพ่อคุณแม่ยังอุ่นใจได้ด้วยค่ะยามที่เห็นลูกเล่นสนุก เปี่ยมด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ซึ่งแสดงออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริง เพราะบรรดานักวิชาการต่างรับรองคุณประโยชน์ของการเล่นว่า ถือเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งกระตุ้นให้เด็กเกิดการรับรู้ในด้านต่าง ๆ ได้เองตามธรรมชาติ
ลองนึกย้อนกลับไปสมัยยังเด็ก คุณพ่อคุณแม่หลายท่านคงไม่ปฏิเสธนะคะว่า ไม่เคยเฝ้ารอช่วงปิดเทอมอันยาวนาน ช่วงเวลาแห่งความอิสรเสรี ที่จะได้หลุดออกจากพันธนาการแห่งตารางเวลา คนไหนที่เคยถูกส่งไปอยู่กับญาติผู้ใหญ่ที่ต่างจังหวัด มักจะมีวันสนุก ๆ อันน่าจดจำ ขณะที่เด็กสมัยนี้จำนวนไม่น้อย อาจถูกผลักดันให้เข้าสู่ระบบการเรียนรู้ เพื่อมุ่งพัฒนาความฉลาดหรือความสามารถนานาชนิด โดยอาจมองข้ามไปว่า การเล่นที่ดูเผิน ๆ เหมือนไม่มีสาระนั้น...ก็มีดีอยู่มาก เพราะล้วนก่อให้เกิดการพัฒนาทุกด้าน ทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคม และจิตใจ
เด็กปฐมวัยหรือเด็กวัย 4 – 6 ปี เป็นวัยที่เริ่มมีการปรับตัวในหลาย ๆ ด้านอย่างเห็นได้ชัด เขาจะเริ่มมองโลกกว้างมากขึ้น เริ่มหัดเข้าสังคม เริ่มเป็นตัวของตัวเอง เริ่มช่างซักช่างถาม เริ่มเรียนรู้การแบ่งปัน เริ่มสร้างจินตนาการ เริ่มฝึกพูดเป็นประโยคยาว ๆ เริ่มชอบเล่นแบบแข่งขัน เริ่มฝึกทักษะการใช้กล้ามเนื้อและการประสานสัมพันธ์ระหว่างอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ตลอดจนกระบวนการคิดต่าง ๆ ซึ่งจะค่อย ๆ เริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้นตามลำดับผ่าน ‘การเล่น’ นั้นเอง
การแสดงออกเหล่านี้เองที่จะช่วยกระตุ้นการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า พัฒนาสติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาความสามารถด้านการสื่อสาร เสริมสร้างความมั่นใจในตัวเอง เสริมสร้างลักษณะนิสัยที่ดีทางสังคม เสริมสร้างสุขภาพจิตและอารมณ์ที่ดี ส่งเสริมบทบาททางเพศ ตลอดจนพัฒนาเรื่องสมาธิ
นอกจากคุณประโยชน์ดังกล่าว คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถส่งเสริมประโยชน์จากการเล่นได้อีกด้วย ลองสังเกตว่า ลูกชอบเล่นสิ่งใดเป็นพิเศษ แล้วส่งเสริมความสนใจนั้น ๆ เฉพาะด้าน เช่น ดนตรี ศิลปะ ภาษา ฯลฯ
ไม่แน่ว่า คุณอาจพบ “แววถนัด” ของลูกเข้าแล้วก็เป็นได้
Read More......

ไปหาหมอฟันแค่เรื่อง Fun Fun

1 comments
>
ตอนนี้น้องพูนพูนฟันเริ่มหลุดแล้วค่ะ กลายเป็นอสรพิษน้อย อิอิ วางแผนไว้ว่าจะพาน้องไปหาคุณหมอฟันซะหน่อย ก็เลยต้องหาข้อมูลก่อนไป เพราะเจ้าลูกชายโวยวายไม่ยอมไป เฮ้อ....ทำงัยดีหว่า

เชื่อว่าเด็กๆ ทุกคนคงไม่มีใครอยากปวดฟัน ฟันผุ จนต้องไปถอนฟัน ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงเป็นคนสำคัญที่จะดูแลฟันของลูกให้แข็งแรงได้ตั้งแต่ลูกอยู่ในครรภ์ ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รักษาสุขภาพให้แข็งแรง และเมื่อคลอดออกมาแล้วก็ต้องหมั่นทำความสะอาดช่องปากให้ลูกน้อย จนกระทั่งลูกมีฟันซี่แรกแล้วก็ต้องพาไปหาหมอฟัน การพาลูกไปหาหมอฟันตั้งแต่เด็กมีส่วนสำคัญในการป้องกันฟันผุ และสร้างสุขภาพฟันที่ดีเมื่อโตขึ้น จึงอาสาพาคุณพ่อคุณแม่และเด็กๆ ไปหาหมอฟัน ที่ สมภพ อัมพุช คลินิก

ทพญ.อัมพุช อินทรประสงค์ ผู้ก่อตั้งสมภพ อัมพุช คลินิก ซึ่งเปิดดำเนินการมากว่า 30 ปี “พ่อแม่ที่เคยเป็นคนไข้ตอนเด็กๆ พอมีลูกก็เอาลูกมาทำฟันที่นี่ด้วย เราเริ่มจากคลินิกเด็กก่อน ปัจจุบันพัฒนาเป็นศูนย์ทันตกรรมครอบครัวครบวงจร เน้นเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย มีลานกิจกรรม มีห้องสำหรับแปรงฟัน มีเสื้อตะกั่วป้องกันรังสีสำหรับเด็ก” เปิดให้บริการมายาวนานเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องมีคำแนะนำดีๆ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องพาลูกไปหาหมอฟันครั้งแรก “เราแนะนำโดยทั่วไปว่าให้มาตั้งแต่ลูกมีฟันซี่แรกขึ้น หรือประมาณ 6 เดือน แต่ไม่ควรเกิน 1 ปี เนื่องจากเราเน้นเรื่องทันตกรรมป้องกันสำหรับเด็กซึ่งสำคัญมาก สมัยก่อนเราจะเห็นว่ามักให้เด็กมา 3 ขวบ เพราะเด็กจะได้พูดรู้เรื่อง แต่จริงๆ แล้วพอถึง 3 ขวบเด็กจะเริ่มมีฟันผุ ปวดฟัน แล้วถ้าโดนทำฟันตอนเจ็บๆ สักครั้งหนึ่ง เขาก็ไม่อยากทำ ไม่ให้ความร่วมมือ เมื่อเริ่มต้นไม่ดีจะกลายเป็นพื้นฐานและทัศนคติที่ไม่ดีของเด็กต่อไป”
เมื่อมาหาหมอฟันแล้ว คุณหมอจะทำอะไรบ้าง “คือพ่อแม่จำนวนไม่น้อยคิดว่ามาแล้วต้องทำอะไร คุณหมอดูแล้ว ไม่เห็นทำอะไรเลย เสียเวลา คุ้มค่าไหม หมอบอกเลยว่าพ่อแม่ต้องเข้าใจก่อนว่ามาทำอะไร เรามาเพื่อการป้องกัน หมอฟันเด็กทุกคนก็จะรู้ว่าเป็นการมาเพื่อการประเมินความเสี่ยงของเด็กแต่ละคนว่ามีโอกาสฟันผุไหม ซึ่งฟันผุเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ยังดูดนมขวดอยู่ไหม กินจุกจิกหรือเปล่า หรือกินคุกกี้ทั้งวันไม่เคยกินอะไรเลย ดื่มน้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลมาก เหล่านี้มีส่วนทำให้ฟันผุ ซึ่งหมอก็ดูว่าปัจจัยใดที่ทำให้เด็กคนนี้ฟันผุ คุยกันกับพ่อแม่ ถ้าเด็กคนนี้ยังดูดนมจากขวด ดูแลฟันไม่ค่อยดี เราก็จะแก้ปัจจัยนั้นๆ แล้วนัดให้มาบ่อยขึ้น นอกจากนี้ หมอยังสอนวิธีแปรงฟัน ดูแลทำความสะอาดช่องปากที่ถูกต้อง รวมถึงช่วยให้คำแนะนำต่างๆ เช่น บางทีลูกเกิดมาก่อนกำหนด โครงสร้างของฟันอาจจะไม่แข็งแกร่ง ถ้าเรารู้ เราก็จะได้ดูแลเป็นพิเศษ “ถ้าดูแลพันน้ำนมดี ฟันแท้ก็จะดีตามไปด้วย แต่ถ้ารอให้ปวดฟันก็อาจจะสายเสียแล้ว ที่หมอให้กลับมาทุก 6 เดือน ไม่ใช่มาเพราะดูว่าผุไหม แต่มาเพื่อดูว่ามีอะไรที่เราต้องดูแลเป็นพิเศษไหมเพื่อฟันจะได้ไม่ผุ”

แน่นอน ว่าการพาลูกไปหาหมอฟันเป็นสิ่งจำเป็นต้องทำตั้งแต่เด็ก แต่เรื่องที่พ่อแม่อดกังวลไม่ได้ว่าลูกจะเจ็บไหม เข้าไปในห้องแล้วจะร้องไห้หรือไม่ “เราจะคุยกับพ่อแม่ตั้งแต่แรกว่าปรัชญา วิธีการรักษาเป็นแบบนี้นะ พ่อแม่ยอมรับได้ไหม เช่น บางทีอาจจะต้องปิดประตู แบบนี้ คุณพ่อคุณแม่ยอมไหม ซึ่งพ่อแม่ก็ต้องปรับด้วยเพื่อให้เด็กเรียนรู้เองว่าอยู่ที่นี่เขาต้องฟังหมอ คือมันต้องไปด้วยกัน พ่อแม่ต้องเตรียมตัว หมอก็ต้องทำให้ดี ถ้าไปด้วยกันได้ดี มันก็ไม่มีปัญหา เด็กบางคนอาจจะร้องไห้ แต่บางคนก็ไม่ร้อง จากประสบการณ์ของเรา เราจะต้องประเมินเด็กตั้งแต่แรกแล้วว่าเด็กคนนี้จะให้ความร่วมมือมากน้อยแค่ไหน เด็กขี้อายหรือเปล่า หรือการแสดงออกของเขาเป็นอย่างไร ถ้าร้องนิดหน่อย อาจเป็นเพราะถูกขัดใจ ไม่ชอบ แต่ไม่ได้เป็นเพราะหมอทำให้เจ็บ หรือบางครั้งเด็กก็จะพึ่งแม่มากเกินไป มีอะไรก็หาแม่ ออดอ้อน หนูกลัว แต่ถ้าแค่เรียกชื่อแล้วร้องกรี๊ดๆ ลงไปนอนดิ้น หมอก็จะรู้ตั้งแต่ก่อนเข้าห้อง เราต้องบอกก่อน ถ้าบอกตอนที่ร้องแล้วมันยาก ไหนลูกจะร้อง คุณแม่ก็จะห่วง คุณหมอก็ทำอะไรไม่ได้”
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญก่อนที่พ่อแม่ต้องเตรียม พ่อแม่ต้องสร้างทัศนคติที่ดีให้กับลูก ซึ่งคุณหมออัมพุชได้แนะนำไว้ในขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนที่จะพาลูกไปหาหมอฟันด้วย
- เลือกคลินิกที่มีหมอผู้เชี่ยวชาญเรื่องทันตกรรมสำหรับเด็ก(สามารถโทรไปสอบถามได้จากชมรมทันตกรรมสำหรับเด็ก) รู้จักเด็กดี เข้าใจจิตวิทยาเด็ก สร้างแรงจูงใจพื้นฐานที่ดีต่อเด็ก คุณพ่อคุณแม่อาจลองสอบถามจากเพื่อน หรือคนรู้จักถึงคลินิกที่สะอาด ปลอดภัย และคำนึงถึงตัวเด็กเป็นสำคัญ
- พ่อแม่ต้องเข้าใจหลักการการรักษาว่าการมาหาหมอฟันครั้งแรกตั้งแต่เล็ก เป็นการมาเพื่อการป้องกัน คุณหมอจะดูว่าเด็กคนนี้เสี่ยงที่ฟันจะผุไหม มีจุดอ่อนอยู่ตรงไหน ต้องเสริมสร้างอะไรบ้าง แล้วจัดโปรแกรมให้เหมาะสม รวมถึงสอนวิธีการดูแลช่องปากและฟันของเด็กอย่างถูกวิธี
- เมื่อพามาหาหมอแล้ว พ่อแม่ต้องพร้อมให้ความร่วมมือกับหมอ แล้วหมอก็ต้องพยายามพูดคุยให้พ่อแม่เข้าใจถึงหลักการ และวิธีการรักษา
- เมื่อลูกเริ่มโตขึ้น พ่อแม่ต้องมีจิตวิทยาในการสอนเด็ก ปูพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เด็ก พ่อแม่บางคนกลัวหมอฟันมาก อาจจะบอกลูกว่าหมอฟันน่ากลัว เด็กก็จะซึมซับ เด็กอาจจะไม่บอกเป็นคำพูดว่ากลัวแต่ซึมซับไปในสมอง ไมใช่พรุ่งนี้จะไปหาหมอฟันแล้วบอกวันนี้ว่าไม่ต้องกลัว แต่ทุกวันถ้ากินอันนั้นอันนี้เข้าไป เดี๋ยวจะถูกหมอฟันถอนฟัน
- การสร้างทัศนคติที่ดีให้กับลูกก่อนไปหาหมอฟัน ทำได้หลายวิธี เช่น การอ่านหนังสือนิทาน เล่าเรื่องให้ฟังก่อนไปหาหมอฟัน ที่สำคัญอย่าสัญญากับเด็กว่าหมอจะไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น บอกลูกว่าไม่ต้องกลัวลูกเพราะหมอจะไม่ถอนฟัน หรือหมอจะไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้

**เทคนิคการสร้างสุขภาพฟันให้แข็งแรง**
- เริ่มตั้งแต่ท้อง แม่ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ มีแคลเซียม โปรตีนให้ครบถ้วน และหลีกเลี่ยงโรคภัยไข้เจ็บ เพราะฟันเริ่มสร้างตั้งแต่อยู่ในท้อง ถ้าแม่ไม่สบายนานๆ และหนักๆ ลูกก็จะมีฟันที่ไม่แข็งแรง
- ถ้ามีฟันซี่แรกขึ้น ต้องรีบพาลูกมาหาหมอ เพื่อดูปัจจัยเสี่ยง และหมั่นความสะอาดช่องปากของลูกอย่างสม่ำเสมอก่อนที่ฟันซี่แรกขึ้น
- การสอนลูกเรื่องการแปรงฟัน ต้องเริ่มตั้งแต่เด็ก ช่วงที่เวลาจำเพาะที่ฟันจะผุมากที่สุดคือ 16-34 เดือน เพราะช่วงนี้ฟันจะขึ้นเต็มปาก
- ควรปลูกฝังทัศนคติที่ดีในการมาหาหมอฟัน เพื่อช่วยเสริมสร้างฟันให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
โดย : Mother&Care
Read More......

Sunday, May 24, 2009

ป้องกันตัวให้ปลอดภัยจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

0 comments
>
โดย เอมอร คชเสนี

ติดตามข่าวการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือที่เดิมเรียกกันว่าไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก แล้วต้องบอกว่า อย่าตื่นตระหนก แต่ก็ไม่ควรประมาทนะคะ วันนี้มาเรียนรู้วิธีการป้องกันตัวให้ปลอดภัยจากเจ้าไวรัสวายร้ายตัวนี้ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยงค่ะ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ติดต่อได้เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ในคนโดยทั่วไป คือเชื้อจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย และแพร่ไปยังผู้อื่นโดยการไอหรือจาม การรับประทานอาหารร่วมช้อนและภาชนะ หรือติดจากการสัมผัสมือและสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ และเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา เช่น การแคะจมูก การขยี้ตา วิธีหนึ่งซึ่งจะช่วยป้องกันทั้งการแพร่เชื้อและการติดเชื้อได้ก็คือ การใช้หน้ากากอนามัย และการล้างมือบ่อยๆ

หน้ากากอนามัย การไอ จามแต่ละครั้งจะทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายออกไปได้ไกลถึง 3 ฟุต และมีชีวิตลอยปะปนอยู่ในอากาศ ทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดมีโอกาสได้รับเชื้อ จากงานวิจัยขององค์การอนามัยโลกพบว่า การใส่หน้ากากอนามัยสามารถลดการแพร่กระจายของอณูเล็กๆ ที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนได้ถึงร้อยละ 80 ควรใส่หน้ากากอนามัยเมื่อจำเป็นต้องออกไปในที่ชุมชนหรือต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นในที่สาธารณะ เช่น ห้องเรียน ห้องทำงาน ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ โรงแรม โรงพยาบาล รถโดยสาร เครื่องบิน โดยเฉพาะในห้องปรับอากาศ ฯลฯ แต่ไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่คนเดียว หน้ากากอนามัยที่เหมาะจะใช้สำหรับการป้องกันเชื้อไวรัส ได้แก่ หน้ากากอนามัยชนิด N95 ซึ่งมีประสิทธิภาพในการกรองอนุภาคได้ถึง 0.3 ไมครอน หรือ surgical mask ซึ่งราคาจะถูกลงมา สามารถกรองอนุภาคได้ 5 ไมครอน ยกตัวอย่างขนาดของไวรัสโรค SARS จะเป็นอนุภาคเล็กที่มีขนาด 5 ไมครอน อย่างไรก็ตาม อาจพบปัญหาจากการใช้หน้ากากอนามัยชนิด N95 ได้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืด โรคปอดและทางเดินหายใจ และหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากลมหายใจจะผ่านเข้าออกได้ยากขึ้นเนื่องจากแรงต้านภายใน นอกจากนี้ หน้ากากอนามัยชนิด N95 ออกแบบมาสำหรับผู้ใหญ่ หากนำมาให้เด็กใช้ ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ คำแนะนำในการใช้หน้ากากอนามัยในพื้นที่เสี่ยง ก็คือ - ล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดก่อนใส่หน้ากากทุกครั้ง - สังเกตด้านนอกและด้านในของหน้ากากให้ชัดเจน - ข้อสำคัญคือเวลาใส่หน้ากาก ต้องให้กระชับพอดีกับใบหน้า และทดลองหายใจเข้าออกให้เป็นจังหวะหายใจตามปกติ - ไม่ควรนำหน้ากากที่ใช้แล้วกลับมาใช้ซ้ำอย่างเด็ดขาด - ไม่แนะนำให้ใช้หน้ากากอนามัยชนิดกระดาษ เนื่องจากไม่สามารถป้องกันเชื้อไวรัสได้ - พิจารณาใช้หน้ากากอนามัยเมื่อเห็นสมควร หรือคิดว่ามีโอกาสเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อ

ล้างมือบ่อยๆ หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ และไม่ใช้มือแคะจมูกหรือขยี้ตา จะช่วยป้องกันการแพร่กระจายและการติดต่อของโรคได้มากเช่นกัน เพราะมือเป็นตัวกลางนำเชื้อโรคไปสู่ผู้อื่นและรับเชื้อมาสู่ตัวเอง ควรทำความสะอาดมือหลังจากการไอ จาม และเมื่อต้องสัมผัสกับเครื่องใช้สาธารณะ เช่น ที่จับรถเข็นในซูเปอร์มาร์เก็ต เมาส์ในอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ราวรถประจำทาง ลูกบิดประตู ปุ่มลิฟต์ ราวบันได เป็นต้น หากไม่สามารถล้างมือได้ทุกครั้ง อาจหาซื้อเจลแอลกอฮอล์พกติดตัวไว้ ใช้ทำความสะอาดมือโดยไม่ต้องล้างออก แอลกอฮอล์เจลมีประสิทธิภาพฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้เกือบ 1,000 เท่า โดยใช้เวลาเพียง 15 วินาที ขณะที่น้ำกับสบู่ฆ่าได้ประมาณ 100 เท่า โดยต้องล้างอย่างน้อย 1 นาที อย่างไรก็ตาม หากมือเปื้อนสิ่งสกปรก เช่น คราบอาหาร หรือคราบสกปรกต่างๆ จะล้างไม่ออกด้วยแอลกอฮอล์เจล ต้องล้างด้วยน้ำกับสบู่เท่านั้น แต่หากไม่มีน้ำและสบู่ การล้างมือด้วยเจลล้างมือก็ยังดีกว่าไม่ล้างเสียเลย ควรระวังไม่ให้เจลล้างมือถูกผิวหนังที่เป็นเยื่อบุต่างๆ หรือผิวหนังที่บอบบาง เช่น ผิวที่เป็นแผล หรือตา เพราะจะทำให้ระคายเคืองได้ อีกปัญหาหนึ่งที่พบได้คือ ใช้แล้วอาจทำให้ผิวแห้งเนื่องจากองค์ประกอบส่วนใหญ่ของเจลล้างมือคือแอลกอฮอล์ ผู้ผลิตจึงแก้ปัญหานี้ด้วยการเติมมอยส์เจอไรเซอร์ลงไป นอกจากการใช้หน้ากากอนามัยและการล้างมือบ่อยๆ แล้ว วิธีดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ก็คือ ไม่ทักทายกันด้วยการจูบหรือสัมผัสมือ ไม่รับประทานอาหารร่วมช้อนและภาชนะเดียวกันกับผู้อื่น จัดสถานที่อยู่อาศัยและที่ทำงานให้อากาศถ่ายเทสะดวก หลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชนหรือสถานที่แออัด รักษาความสะอาดของสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น โทรศัพท์ รักษาสุขภาพให้แข็งแรงโดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักผลไม้ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ที่มา: Mother&Care
Read More......

Thursday, May 21, 2009

เจ้าหนูเทควันโดของแม่

0 comments
>

ต้นเดือนที่ผ่านมา น้องพูน พูนไปสอบสายเทควันโดมาค่ะ เรียนมาได้เกือบสองปีแล้วค่ะ พัฒนาการทางร่างกายน้องดีขึ้นเยอะมากเลยค่ะ จากที่ไม่ค่อยมีแรง เก้งก้าง เตะต่อยไม่เป็น เดี๋ยวนี้อย่าให้พูดเลยค่ะ โดนต่อยทีเนี๊ยเขียวช้ำไปเลย 5555

ตัดสินใจให้น้องเรียนเทควันโด อาจเป็นเพราะเป็นกีฬาที่ดูอินเทรนดี แต่ที่สำคัญก็คืออยากให้น้องได้ออกกำลังกายค่ะ ที่นี่สอนเป็นกันเองดีค่ะ พี่ดูแลน้อง เด็ก ๆ ทุกคนมีสัมมาคารวะ ไหว้ผู้ปกครองทุกคน แล้วก็ยังมีความอ่อนน้อมอีกด้วย อาจเป็นเพราะเป็นกีฬาของเกาหลีซึ่งมีวัฒนธรรมแบบนี้ก็ได้ ทุก ๆ 4 เดือนจะมีการสอบสาย เด็ก ๆ ทุกคนก็ขยันฝึกซ้อมกันอย่างหนัก แต่น้องพูน พูนยังเด็ก ยังน้อยขั้นอยู่ ก็เลยไม่ค่อยยากเท่าไหร่อาศัยฝึกซ้อมทุกวันก็ยังพอไหว แม่ ๆ คนไหนสนใจอยากให้ลูกเล่นกีฬ่าเพื่อเสริมสร้างร่างกายที่แข่งแรงให้น้อง ๆ เทควันโดก็เป็นกีฬาอีกประเภทนึงที่แม่โออยากแนะนำนะคะ
Read More......

Wednesday, May 20, 2009

โรคฮิตรับเปิดเทอม (ตอนจบ)

2 comments
>
คิดว่าเป็นโรคเก่า เชย ล้าสมัยใช่มั้ยคะ? ผิดถนัดค่ะ เพราะทุกวันนี้หมอก็ยังคงต้องให้การรักษาเด็กๆ ที่ติดหิด-เหามาอยู่เรื่อยๆ เลยนะคะ

เหา-หิด ไม่ติดเอาเท่าไหร่

หิด เป็นโรคแรกที่มนุษย์สามารถหาได้ว่าต้นเหตุของโรคคือไรตัวเล็กๆ หิดตัวเมียที่ตัวโตเต็มวัยจะมีขนาดประมาณ 0.4 มิลลิเมตร มีขา 4ขา ตัวเป็นรูปครึ่งทรงกลม

อาการของหิด คือ คันมากโดยเฉพาะเวลากลางคืน แรกๆจะเป็นตุ่มแดงเล็กๆ บางตุ่มใสใส บางตุ่มแตกลอกเป็นสะเก็ด ถ้าเห็นเป็นรอยทางที่หิดขุดไปบนผิวหนังก็จะวินิจฉัยได้ชัดเจน ในเด็กอายุมากกว่า 1 ปีถ้าเป็นหิดมักพบที่ง่ามระหว่างนิ้วมือ ข้อมือส่วนที่ผิวบาง รักแร้ ข้อเท้า ก้น สะดือ ขอบกางเกง และขาหนีบ

หิดทำให้คันเพราะมันจะปล่อยสารย่อยสลายชั้นผิวหนัง เพื่อขุดหลุมวางไข่บนผิวหนัง และถ่ายอุจจาระไปด้วย การติดต่อเกิดขึ้นได้โดยการสัมผัสผู้ที่เป็นหิดอย่างใกล้ชิดเป็น เวลานานพอควร ส่วนการรักษานั้น แพทย์จะให้ครีมหรือโลชั่นที่มีตัวยาฆ่าตัวหิด (permethrin หรือ lindane )เพื่อทาบริเวณที่เป็น หลังรักษาแล้ว 1 วัน มักจะไม่มีการติดต่อของตัวหิดอีก แต่อาการคันจะยังคงมีอยู่ต่อไปได้อีกหลายวัน แพทย์จะสั่งยาทาบรรเทาอาการให้ ถ้ายังคงคันอยู่เกินสองอาทิตย์หลังรักษา คุณพ่อคุณแม่ต้องพาลูกกลับไปให้หมอดูว่ายังมีตัวหิดหลงเหลืออยู่หรือไม่ค่ะ

หิดนั้นป้องกันได้ง่ายนิดเดียวค่ะ โดยการรักษาความสะอาดของร่างกายและเสื้อผ้า ตลอดจนผ้าปูที่นอน ผ้าห่มและผ้าเช็ดตัวอยู่เสมอ

เหา เป็นสัตว์ตัวเล็กๆที่อยู่บนผม ติดต่อโดยการที่ศีรษะไปอยู่ใกล้ชิดกับศีรษะของผู้ที่เป็นเหา นอกจากนี้ยังติดต่อจากการใช้หวี แปรงแปรงผม หรือ หมวกร่วมกัน เหาจะวางไข่ติดบนเส้นผมห่างจากโคนผมประมาณ 3-4 มิลลิเมตร มักพบบริเวณท้ายทอย และเหนือใบหู ถ้าเด็กเกามาก อาจมีหนังศีรษะอักเสบร่วมด้วยค่ะ

การรักษาก็ใช้ยาชนิดเดียวกับยารักษาหิดค่ะ และต้องรักษาคนที่อยู่ใกล้ชิดทุกคนที่เป็นพร้อมๆกันไปด้วย โดยใช้หวีที่มีซี่ละเอียด (หรือที่เราเรียกว่า "หวีเสนียด") สางไข่เหาออก ส่วนเสื้อผ้าและเครื่องนอนก็ควรซักด้วยน้ำร้อน หรือต้มแล้วตากแดด หวีที่เคยใช้อยู่ตามปกติก็ต้องทิ้งไป แล้วซื้อมาเปลี่ยนใหม่ดีที่สุดค่ะ

พยาธิลำไส้ เด็กในวัยเรียนมีโอกาสเล่น และคลุกคลีกับพื้นดินตลอดเวลา ถ้าเด็กไม่ได้ล้างมือให้สะอาดหลังจากเล่นในสนาม แล้วเอามือนั้นไปหยิบอาหารเข้าปาก ก็อาจได้รับไข่พยาธิเข้าไปในร่างกายได้ค่ะ

พยาธิที่พบบ่อยที่สุดในเด็กวัย 3-6 ปี คือ พยาธิไส้เดือนทั้งนี้เพราะการติดต่อของพยาธินี้ผ่านไปทางดินที่ปนเปื้อนไข่พยาธิ ไข่พยาธิจะถูกขับถ่ายออกมากับอุจจาระของคนที่มีพยาธิอยู่ในตัว เมื่อไข่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ตัวอ่อนของพยาธิในไข่จะเจริญจนโตพร้อมจะฟัก ถ้าเด็กๆเอามือที่เปื้อนไข่พยาธิเข้าปาก ไข่พยาธิก็จะไปฟักเป็นตัวอ่อนในลำไส้ ไชผ่านเข้าไปในปอด ออกมาสู่หลอดลมแล้วถูกกลืนลงในลำไส้อีก เมื่อถึงลำไส้เล็กพยาธิจะเจริญเป็นตัวแก่ มีการผสมพันธุ์กันและออกไข่ปนออกมากับอุจจาระ

เด็กที่มีพยาธิไส้เดือนในลำไส้อาจจะไม่มีอาการอะไรเลยก็ได้ เด็กอาจจะบ่นปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด ในรายที่มีพยาธิจำนวนมากในลำไส้จนพยาธิพันกันเป็นก้อนกลม ก็อาจทำให้เกิดอาการของลำไส้อุดตันได้ แต่ก็พบได้น้อยมากค่ะ และในรายที่พบนั้น เด็กจะมีอาการเกิดแบบฉับพลัน คือปวดท้องมากและอาเจียนเป็นสีน้ำดี

พยาธิอีกชนิดหนึ่งคือ พยาธิปากขอ บริเวณปากของพยาธิชนิดนี้จะมีฟันไว้ยึดเกาะกับผนังของลำไส้เล็ก ไข่ของพยาธิปากขอจะออกมากับอุจจาระ และฟักเป็นตัวอ่อนในดินที่ชื้นแฉะและมีอุณหภูมิเหมาะสม ตัวอ่อนของพยาธิจะเข้าสู่ร่างกายโดยการไชเข้าทางผิวหนังหรือถูกกลืนลงในกระเพาะอาหาร พยาธิตัวแก่จะใช้ปากยึดเกาะกับผนังลำไส้และทำให้มีการเสียเลือดออกไปทีละน้อยๆ ถ้ามีพยาธินี้อยู่นานๆจึงทำให้เด็กเสียเลือดจนซีดได้ค่ะ

พยาธิปากขอจะพบมากทางภาคใต้ของประเทศไทย เพราะสภาพอากาศร้อนและชุ่มชื้น ถ้าเด็กไม่สวมรองเท้าเดินบนพื้นดินที่ชื้นแฉะก็มีโอกาสที่ตัวอ่อนของพยาธิปากขอที่อยู่ในดินจะไชเข้าทางเท้าได้
เราสามารถป้องกันลูกจากการติดเชื้อพยาธิลำไส้เหล่านี้ได้โดย
* การล้างมือทุกครั้งหลังจากเล่น หรือขุดดิน
* ก่อนรับประทานอาหารต้องล้างมือให้สะอาด
* ตัดเล็บให้สั้น
* และควรสวมรองเท้าทุกครั้งที่เดินหรือวิ่งบนพื้นดิน
* นอกจากนี้ ควรพิจารณาให้ยาถ่ายพยาธิแก่เด็กวัย 2 ปีขึ้นไป อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้งด้วย โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถขอคำแนะนำในการให้ยาถ่ายพยาธิจากคุณหมอประจำตัวของลูก หรือจากเภสัชกรประจำร้านขายยาได้เสมอ หากไม่แน่ใจในวิธีการให้ค่ะ
หวังว่าเปิดเทอมใหม่นี้ คุณพ่อคุณแม่จะมีความสุขกับการได้เห็นลูกรักไปโรงเรียนและมีสุขภาพแข็งแรงไปพร้อมๆ กันนะคะ
จาก: เวปรักลูก
Read More......

โรคฮิตรับเปิดเทอม (ตอน 2)

0 comments
>
ฟังดูแล้วน่ากลัวจังนะคะโรคพวกเนี๊ย แต่ถ้าเราคอยดูแลเด็ก ๆ ของเราแล้วคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรนะคะ เราดูกันต่อเลยค่ะว่าโรคฮิตที่ว่านั่นน่ะ เราสามารถรับมือกับมันได้อย่างไรค่ะ

โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ
เดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนเป็นช่วงที่เด็กๆเริ่มเปิดภาคเรียนใหม่ และตรงกับช่วงเปลี่ยนจากฤดูร้อนเป็นฤดูฝนด้วย ด้วยสองสาเหตุนี้จึงทำให้เด็กๆเป็นโรคทางเดินหายใจอักเสบกันบ่อย
โรคหวัดจะพบได้บ่อยในช่วงสองถึงสามปีแรกที่ลูกเข้าโรงเรียนใหม่ๆ ส่วนใหญ่ก็คือเด็กวัยอนุบาล บางคนเป็นหวัดบ่อยถึงเดือนละ ๑-๒ ครั้ง แต่เมื่ออายุเกิน ๖ ขวบไป แล้วคือเด็กวัยประถมศึกษา ก็จะเป็นหวัดน้อยลงเหลือเพียงปีละ ๒-๓ ครั้งเท่านั้นค่ะ
เชื้อที่เป็นสาเหตุของหวัดส่วนใหญ่เป็นไวรัส อาการที่สำคัญคือ มีน้ำมูกใสๆไหล จาม คัดจมูก บางคนครั่นเนื้อครั่นตัว อาจมีอาการไอตามมาทีหลังได้ อาการไข้มักจะไม่สูงมากและเป็นอยู่ไม่เกิน ๓ วัน อาการหวัดมักจะหายไปเองใน ๓-๔ วันหรืออย่างมากไม่เกิน ๗ วัน
เด็กที่เป็นหวัดหลายวันแล้วกลับมีไข้ขึ้นสูง ต้องคำนึงถึงโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียด้วยค่ะ ในกรณีเช่นนี้ควรพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายหาว่ามีการติดเชื้อ อยู่ที่ใด เช่น ที่คอ หูชั้นกลาง หลอดลม และปอด
สารพันปัญหา "หวัด"
ถาม: การที่เด็กเป็นหวัดแล้วมีน้ำมูกสีเขียว แสดงว่าเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียใช่หรือไม่?
ตอบ: นอกจากดูสีแล้วต้องดูลักษณะของน้ำมูกด้วยค่ะ น้ำมูกสีเขียวที่แห้งกรังติดรูจมูกเวลาเช็ดจะร่วงเป็นแผ่นๆ น้ำมูกแบบนี้มักแสดงว่าโรคหวัดกำลังจะหาย ไม่ใช่การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน แต่ถ้าน้ำมูกสีเขียวเป็นยวงเหมือนหนอง น้ำมูกจะไหลยืดออกมาคล้ายลอดช่อง แบบนี้มักเกิดจากเชื้อแบคทีเรียค่ะ

การดูแลเด็กที่เป็นหวัด ควรให้เด็กดื่มน้ำมากๆ และควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าเป็นไปได้ควรหยุดเรียนจนกว่าจะหายหวัด ทั้งนี้เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่เด็กคนอื่นๆในห้องเรียน

เมื่อลูกป่วย แพทย์ที่ดูแลลูกจะบอกได้ดีที่สุดว่าจะไปโรงเรียนได้หรือไม่ โดยทั่วไปเด็กควรหยุดเรียนถ้ามีไข้ขึ้น ไม่สบายจนนั่งเรียนในชั้นไม่ได้ หรือมีการติดเชื้อที่อาจ แพร่สู่เพื่อนๆได้ง่าย

ถาม: เมื่อเป็นหวัดควรงดว่ายน้ำหรือไม่ และการว่ายน้ำจะทำให้เกิดหูอักเสบมากขึ้นหรือไม่?
ตอบ: หูอักเสบที่พูดถึงโดยทั่วไปคือ หูส่วนกลางอักเสบ ตามปกติคนเราจะมีช่องที่ติดต่อระหว่างหูส่วนกลางกับคอ โดยทั่วไปช่องนี้ไม่มีเชื้อโรค แต่ในเด็กที่เป็นคออักเสบ อาจจะมีการบวมของท่อนี้ ประกอบกับเชื้อที่อยู่ในคอมีโอกาสผ่านเข้าไปในช่องนี้แล้วไปสู่หูส่วนกลาง จึงอาจเกิดการอักเสบของหูส่วนกลางได้

ในคนปกติ การว่ายน้ำหรือน้ำเข้าหูไม่ทำให้เกิดหูอักเสบหรือหูน้ำหนวก เพราะมีแก้วหูปิดอยู่ เวลาดำน้ำมีความแตกต่างของความดันในหูส่วนกลางกับภายนอก ทำให้หูอื้อ เวลากลืนน้ำลายช่องติดต่อนี้จะเปิดออกปรับความดันให้เท่ากัน แต่ในคนที่เป็นหวัด มีการบวมของท่อนี้ ทำให้ท่อนี้เปิดได้ไม่ดี การปรับความดันก็ไม่ดี หูจึงอื้อ และ อาจทำให้เกิดอักเสบได้ง่าย ดังนั้นเด็กที่เป็นหวัดจึงควรงดว่ายน้ำไปก่อนจนกว่าจะหาย หากจะลงว่ายน้ำ ก็ควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลเพื่อพิจารณาให้คำแนะนำก่อนค่ะ

ถาม: แล้วโรงเรียนจะช่วยให้เด็กๆติดหวัดกันน้อยลงได้อย่างไร?
ตอบ:
1.จัดให้ห้องเรียนมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ภายในโรงเรียนมีสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่มีฝุ่นละอองหรือควัน
2.หมั่นทำความสะอาดของเล่น และหนังสือที่ใช้ในห้องเรียน
3.จำนวนนักเรียนในห้องไม่ควรแออัดมากเกินไป ชั้นอนุบาลไม่ควรเกินห้องละ 20-30คน
4.นักเรียนแต่ละคนมีของใช้ส่วนตัวที่ไม่ปะปนกัน เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว
5.จัดกิจกรรมสอนให้เด็กรู้จักดูแลสุขภาพง่ายๆ เช่น เวลาไอจามให้ปิดปาก ล้างมือทุกครั้งหลังการเล่นและก่อนรับประทานอาหาร

นอกจากทางโรงเรียนแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็มีส่วนดูแลสุขภาพของลูกด้วยค่ะ โดยให้ลูกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ ทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ เมื่อลูกป่วย ก็ไม่ควรฝืนให้ลูกไปโรงเรียน เพราะ นอกจากจะไม่ได้นอนหลับพักผ่อนแล้ว ยังจะเป็นการนำเชื้อไปแพร่ให้เพื่อนๆด้วยค่ะ

*** ติดตามต่อนะคะ ***

Read More......

โรคฮิตรับเปิดเทอม

0 comments
>
ช่วงนี้โรงเรียนเปิดเทอมแล้วนะคะ คุณพ่อคุณแม่ก็คงวุ่นวายน่าดู น้องพูนพูนก็เหมือนกันค่ะ กว่าจะเรียกตื่น กว่าจะอาบน้ำแปรงฟัน บางวันก็โอเค บางวันก็งอแงบ้าง แต่เค้ายังเด็กนิเนอะก็ต้องดูแลกันต่อไป นอกจากนั้นแล้วยังมีเรื่องที่เราจะต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ ก็เรื่องสุขภาพของเค้างัยล่ะคะ ช่วงนี้อากาศก็แปรปรวนนิดนึง เดี๋ยวฝนตกเดี๋ยวแดดออก อย่าว่าแต่เด็ก ๆ เลยค่ะ ผู้ใหญ่อย่างเราก็จะแย่เหมือนกัน เรามาลองดูกันนะคะว่าโรคฮิตที่เด็ก ๆ มีแนวโน้มว่าอาจจะต้องทำความรู้จักกับมันบ้างเป็นครั้งคราวเนี๊ยมีอะไรบ้างแล้วเราควรจะเตรียมตัวกันอย่างไรค่ะ

โดย: พ.ญ.ศิริพัฒนา ศิริธนารัตนกุล
ใส่ใจสุขภาพลูก โรคฮิตลูกติดมาจากเพื่อนที่โรงเรียน

น้องนนเป็นหวัด

"ตั้งแต่เปิดเทอมมานี่ ลูกเป็นหวัดเกือบทุกเดือนเลยค่ะ" คุณแม่ที่มีลูกวัยอนุบาลเอ่ย เมื่อหมอตรวจลูกเสร็จแล้วและให้การวินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัดคออักเสบ

"พอเปิดเทอมแล้วก็จะเป็นอย่างนี้แหละค่ะ เด็กนักเรียนในห้องผลัดกันเป็นหวัด ติดกันไปติดกันมา ช่วงปิดเทอมเด็กๆ หยุดอยู่บ้านพักผ่อน เชื้อโรคก็ดูเหมือนจะพักผ่อนไปด้วย เพราะไม่มีการแพร่เชื้อจากเด็กคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่ง" หมออธิบาย คิดในใจว่าหมอที่รักษาเด็กก็มักจะได้พักผ่อนช่วงปิดเทอมด้วยเช่นกัน เพราะเด็กป่วยกันน้อย

"แล้วดิฉันควรจะทำอย่างไรดีคะ เพื่อให้ลูกติดหวัดน้อยลง?" คุณแม่ถามต่อ

"หมอขอเล่าก่อนนะคะว่าเชื้อหวัดแพร่ได้อย่างไร เชื้อหวัดจะแพร่จากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งก็โดยทางน้ำมูกและน้ำลายของผู้ที่เป็นนั่นเองค่ะ เวลาไอหรือจามถ้าไม่ปิดปากปิดจมูก ละอองฝอยน้ำลายจะฟุ้งไปในอากาศ คนอื่นสูดเข้าไปก็จะติดหวัดได้ หรือการดื่มน้ำร่วมแก้วกัน กินข้าวร่วมช้อนกัน เล่นของเล่นที่เปื้อนน้ำมูกน้ำลายของผู้ที่เป็นหวัดก็ทำให้ติดเชื้อได้ค่ะ...ที่โรงเรียนเด็กๆดื่มน้ำกันอย่างไรคะ?"

"เห็นมีเครื่องให้กดน้ำดื่ม มีแก้ววางอยู่เต็มเลยค่ะ ไม่รู้ว่าใบไหนใช้แล้วหรือยัง ดิฉันว่าเด็กๆ คงจะใช้แก้วปนๆ กันไปค่ะ" คุณแม่เล่า น้ำเสียงและสีหน้าดูไม่ค่อยสบายใจนัก

"อันที่จริง ทางโรงเรียนควรมีตะกร้าแยกแก้วใช้แล้วออกจากแก้วใหม่ ถ้าเป็นไปได้ควรจะให้เด็กแต่ละคนมีแก้วของตนเอง หมอเคยเห็นที่โรงเรียนอนุบาลบางแห่ง จะมีช่องให้เด็กๆเก็บของใช้ส่วนตัว เด็กแต่ละคนจะมีสัญลักษณ์ประจำตัวเป็นรูปสัตว์น่ารักๆ ติดไว้ เราก็ให้เขาติดรูปสติ๊กเกอร์ประจำตัวเขาไว้ที่แก้วน้ำ สอนให้เขาดื่มน้ำจากแก้วของเขาเอง ดูแลล้างเก็บเอง เด็กๆ จะได้ฝึกทั้งความรับผิดชอบและสุขอนามัยด้วยค่ะ"

"เด็กๆ ที่เรียนในห้องที่ติดเครื่องปรับอากาศล่ะคะ จะทำให้เป็นหวัดกันมากขึ้นไหมคะ?" คุณแม่ถามต่อ

"ถ้าในห้องเรียนนั้นไม่มีเด็กเป็นหวัด ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ในความเป็นจริงก็จะมีนักเรียนน้ำมูกไหลไอจาม อากาศในห้องแอร์จะหมุนเวียนกันอยู่ในนั้น เชื้อหวัดก็จะวนอยู่ด้วย ห้องเรียนที่ดีควรจะโปร่ง มีอากาศบริสุทธิ์ถ่ายเทสะดวก ถึงแม้จะมีเชื้อหวัดก็จะหมุนเวียนออกไปนอกห้องไม่อบอวลกันอยู่ในห้องค่ะ"

..นี่ล่ะค่ะ เป็นสัญญาณว่า โรงเรียนเปิดเทอมแล้วจริงๆ!

โรคฮิตติดอันดับ..มีอะไรบ้าง

โรงเรียนไม่ใช่แหล่งความรู้อย่างเดียวเสียเมื่อไหร่ บางครั้งเป็นแหล่งชุมนุมโรคภัยไข้เจ็บได้เหมือนกัน ส่วนใหญ่ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร แต่ก็มีผลต่อสุขภาพการเติบโตของ เด็กๆ ไม่มากก็น้อย การป้องกันดูแลจะช่วยให้หนูๆไปโรงเรียนได้อย่างสนุกสนาน ปลอดภัยจากโรคภัยรังแก การเจ็บป่วยของเด็กๆที่พบบ่อยในช่วงเปิดเทอมมี 3 ประเภทด้วยกันค่ะ

1.โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ได้แก่ โรคหวัด การอักเสบของจมูก คอ หูชั้นกลาง และหลอดลม
2.โรคที่ติดต่อจากการสัมผัสทางผิวหนัง เช่น หิด เหา
3.โรคทางเดินอาหาร เช่น อาหารเป็นพิษ ท้องเสีย และพยาธิลำไส้

***ติดตามต่อนะคะ ***
Read More......

Tuesday, May 19, 2009

พูน พูน จะไปแข่งรถคร๊าบ

0 comments
>
บรึ๊น ๆ ๆ หลบหน่อยพระเอกมา 555 สวัสดีคร๊าบทุกคน วันนี้พูน พูน เป็นนักแข่งรถคร๊าบ พอดีพี่โอ่โอ๊ ถอยรถมาให้ใหม่ วันนี้ก็ว่าจะไปสอบใบขับขี่คร๊าบ บรึ๊น ๆ

หลังจากที่แพลนมานานแสนนานว่าจะปรับปรุงห้องนอนใหม่ ก็ได้ฤกษ์ซะที ถอยเตียงใหญ่มาตัวนึง จะให้ลูกชายสุดที่รักนอนพื้นเหมือนเดิมก็กะไรอยู่ ก็เลยถอยรถใหม่เอ๊ยเตียงใหม่ให้เค้าซะด้วยเลย พอดีเห็นเตียงอันเนี๊ยก็ถูกใจมั่ก ๆ ไม่ค่อยเห็นเลยนะคะ เตียงดีไซน์แบบนี้ ทำมาจากไม้ยางพาราอบแห้ง สีก็คุณภาพดี คงจะใช้ได้ไปจนโตโน่นล่ะค่ะ ถ้าแม่ ๆ สนใจลองเข้าไปดูที่ http://www.poon-poon2home.pantown.com/ ได้เลยนะคะ
Read More......

ก้าวใหม่ที่สำคัญของน้องพูน พูน ค่ะ

1 comments
>


สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ ทุกคน โอ นะคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ช่วงนี้เด็ก ๆ ก็คงจะเปิดเทอมกันหมดละ เป็นงัยกันบ้างคะเด็ก ๆ ร้องไห้โยเยกันรึเปล่า ถ้าเป็นโรงเรียนเดิม เพื่อน ๆ กลุ่มเดิม เด็ก ๆ ก็คงมีความสุขที่จะได้พบเพื่อน ๆ ที่ห่างกันไปนาน แต่ถ้าเป็นเด็ก ๆ ที่ต้องย้ายโรงเรียน คงจะลำบากพอดูเหมือนกันนะคะ

น้องพูน พูนก็เพิ่งย้ายโรงเรียนเหมือนกันค่ะ ตอนนี้แกขึ้นป.1ล่ะ แต่ก่อนหน้านี้ก็มีการเรียนซัมเมอร์มาเกือบเดือนได้ค่ะ คุณครูก็คงอยากจะให้เด็ก ๆ เนี๊ยคุ้นเคยกับสถานที่ คุณครู เพื่อน ๆ ที่อะไร ๆ ก็ใหม่หมดสำหรับแก แต่ละวันก็จะได้ฟังเรื่องราวแปลก ๆ ใหม่ ๆ คุณครูสอนร้องเพลงมั่ง นิทานมั่ง ที่สำคัญที่สุดก็คือ เพลงโรงเรียนค่ะ น้องพูน พูน แกร้องทุ๊กวัน ประกอบกับคุณพ่อเค้าก็เป็นศิษย์เก่ามาก่อน ก็ประสานเสียงกันยกใหญ่ ถ้าเพลงไหนเป็นเพลงใหม่ ๆ น้องก็จะแกทับคุณพ่อทุกครั้งไป แหม ก็พ่อเค้าจบมาตั้งกี่ปีแล้วค้า...^o^ ลูก ๆ เราเนี๊ยตอนอยู่บ้านก็ดูเป็นเด็ก ๆ ๆ ๆ ๆ ยังงัยก็เด็กนะ แต่พอไปอยู่ที่โรงเรียนเนี๊ยเหมือนโตขึ้นมาทันตาเลยค่ะ คุณครูบอกอะไรก็เชื่อ เป็นเด็กว่านอนสอนง่ายซะงั้น แต่พอมาอยู่บ้าน ต้องบอกแล้วบอกอีก ดุก็แล้วอ้อนก็แล้ว เฮ้อ.....
Read More......
 

Takecare Our Kids with Heart Copyright 2008 All Rights Reserved Baby Blog Designed by Ipiet | All Image Presented by Tadpole's Notez